Woman Care Clinic

ปวดประจำเดือน สัญญาณภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงจริงหรือไม่?

โดย นพ. ศุภณัฐ บุรินทร์กุล (หมอเอิร์ท)
พญ. ฐานิสา กิจจรัส (หมอแนน)

ปวดประจำเดือน

อาการ “ปวดประจำเดือน” เป็นภาวะที่คุณผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญ โดยอาการปวดท้องประจำเดือนนั้นอาจมีความรุนแรงต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจปวดท้องหน่วง ๆ เพียงเล็กน้อย หรือบางคนอาจรู้สึกปวดอย่างรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว โดยอาการปวดประจำเดือนที่ผิดปกตินั้นมีความสัมพันธ์กับโรคทางนรีเวชหลายโรค และปัญหาที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบนั่นก็คือ “อาการปวดประจำเดือนนั้น สัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยาก”

ในบทความนี้ เราจะพาคุณผู้หญิงมาทำความเข้าใจว่า อาการปวดประจำเดือนแบบไหนที่ถือว่าเป็นปกติ และแบบไหนที่อาจเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยาก พร้อมทั้งแนวทางการตรวจวินิจฉัยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการมีบุตรในอนาคตได้อย่างมั่นใจกันค่ะ

โดยทั่วไป อาการปวดประจำเดือนที่เกิดพร้อม ๆ กับ มดลูกบีบตัวเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมาในช่วงรอบเดือน ระหว่างกระบวนการนี้ ร่างกายจะหลั่งสารที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) เป็นเหตุให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น จึงก่อให้เกิดอาการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย มักจะรู้สึกได้ในช่วง 1 – 2 วันแรกของการมีประจำเดือน ซึ่งอาการปวดจะไม่รุนแรงและจะค่อย ๆ ทุเลาลงเองภายใน 2 – 3 วัน โดยไม่ต้องทานยาแก้ปวด หรือทานเพียง 1 เม็ด อาการปวดประจำเดือนในลักษณะนี้ถือว่า “ปกติ” ค่ะ

อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดมีความรุนแรงผิดปกติ หรือแตกต่างจากที่เคยเป็น เช่น ปวดจนต้องหยุดงาน/หยุดเรียน หรืออาการไม่ทุเลาแม้จะรับประทานยา อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติทางนรีเวช ที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย หรือเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมค่ะ

โรคที่ทำให้ปวดประจำเดือน

ไม่ใช่ทุกอาการปวดประจำเดือนจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ เสมอไปนะคะ หากพบว่ามีลักษณะอาการดังต่อไปนี้ อาจไม่ใช่การปวดประจำเดือนธรรมดา แต่เข้าข่ายอาการที่ “ไม่ปกติ” ค่ะ

ปวดประจำเดือน

คำตอบคือ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่ปวดประจำเดือนจะมีบุตรยากค่ะ ในกรณีทั่วไป อาการปวดประจำเดือนที่ไม่รุนแรงและไม่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน มักจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์โดยตรง แต่ในบางกรณีที่อาการปวดรุนแรงและผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคทางนรีเวช ที่เป็นสาเหตุให้ตั้งครรภ์ยากขึ้นได้ เช่น

โรคเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์ ไม่ว่าจะในแง่คุณภาพของเซลล์สืบพันธุ์ ยังทำให้สรีระทางกายภาพผิดปกติไปจากเดิม จนกลายเป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ และอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากได้ค่ะ

1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)

ภาวะนี้เกิดจาก เยื่อบุโพรงมดลูกที่ควรอยู่ภายในโพรงมดลูก แต่กลับไปเจริญเติบโตในตำแหน่งอื่น ๆ แทน เช่น รังไข่ ลำไส้ หรือเยื่อบุช่องท้อง ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเกิดพังผืดผิดปกติตามตำแหน่งต่าง ๆ อาการที่มักพบได้บ่อยคือ อาการปวดประจำเดือนที่รุนแรง อาการเจ็บหน่วงขณะมีเพศสัมพันธ์ และบางรายอาจมีช็อกโกแลตซีสต์ในรังไข่, ท่อนำไข่ตีบตันจากพังผืด, มดลูกถูกดึงรั้งทำให้อยู่ในแกนที่ผิดปกติ ภาวะต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสาเหตุที่สำคัญที่ส่งผลให้คุณผู้หญิงมีบุตรได้ยากขึ้นค่ะ

2. ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst, Endometriotic cyst)

เป็นถุงน้ำที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในรังไข่ เกิดจากการมีเลือดประจำเดือนออกบริเวณรังไข่ที่เรื้อรัง ทำให้มีการสะสมของเลือดเก่า ๆ เกิดเป็นถุงน้ำที่มีลักษณะสีน้ำตาลเข้ม คล้ายช็อกโกแลต หลาย ๆ คนจึงเรียกโรคนี้ว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” นั่นเองค่ะ ช็อกโกแลตซีสต์นี้มีผลต่อภาวะมีบุตรยากหลายประการค่ะ ช็อกโกแลตซีสต์จะส่งผลให้ไข่ตกผิดปกติ, คุณภาพและปริมาณของฟองไข่แย่ลง และอาจส่งผลให้รังไข่เสื่อมก่อนวัยได้ค่ะ

3. พังผืดในอุ้งเชิงกราน (Pelvic adhesion)

การอักเสบเรื้อรังจากการปวดประจำเดือนที่รุนแรง อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังบริเวณอุ้งเชิงกราน และเกิดพังผืดที่ดึงรั้งอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตร ได้แก่ มดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ ส่งผลโดยตรงต่อการเดินทางของไข่ที่ตกออกมาจากรังไข่ ทำให้การปฏิสนธิไม่เกิดขึ้น และนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากค่ะ นอกจากนี้พังผืดในอุ้งเชิงกรานยังเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน, การผ่าตัดบริเวณมดลูกและรังไข่ เป็นต้น

4. เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก (Myoma uteri)

เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกมีหลายชนิด โดยเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกชนิดที่เบียดโพรงมดลูก หรือมีขนาดใหญ่ จะส่งผลให้เกิดอาการปวดประจำเดือนที่ผิดปกติ ร่วมกับประจำเดือนมามากได้ แม้ว่าเนื้องอกเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และทำให้มีบุตรยากได้ค่ะ เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกยังส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในโพรงมดลูก และส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน นอกจากนี้เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกที่มีขนาดใหญ่มาก นอกจากจะทำให้มีบุตรยากแล้ว ยังเพิ่มอัตราการแท้งบุตรด้วยนะคะ

5. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญในกล้ามเนื้อมดลูก (Adenomyosis)

เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกแทรกเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณชั้นกล้ามเนื้อของตัวมดลูกขณะเป็นประจำเดือน และมีเส้นเลือดที่เปราะมากขึ้น ส่งผลให้มีอาการปวดประจำเดือนที่มากขึ้น โดยกลไกที่สัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยากจะคล้ายคลึงกับเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกข้างต้นค่ะ แต่เพิ่มเติมคือมีความอักเสบของเซลล์มดลูกที่มากกว่า จึงรักษายากกว่านั่นเองค่ะ

6. การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease)

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบและพังผืดในท่อนำไข่หรืออุ้งเชิงกราน ส่งผลให้ท่อนำไข่ตีบหรืออุดตัน และอาจทำให้มีบุตรยากได้เช่นกันค่ะ

ดังนั้นแล้ว หากคุณผู้หญิงมีอาการปวดประจำเดือนผิดปกติและกังวลเกี่ยวกับการมีบุตร ควรเข้ารับการประเมินจาก แพทย์เฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยาก เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและวางแผนการรักษาได้อย่างทันท่วงที และแน่นอนว่าการเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Woman Care Clinic จะช่วยให้เข้าใจถึงความเสี่ยง รวมถึงได้รับแนวทางการรักษาที่ตรงจุดและเหมาะสมที่สุดค่ะ

ปวดประจำเดือน มีบุตรยาก

หากสาว ๆ มีอาการปวดประจำเดือนผิดปกติ ไม่ควรนิ่งนอนใจหรือซื้อยาแก้ปวดทานเองนะคะ แนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาอย่างตรงจุด เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและส่งผลต่อการมีบุตรในอนาคตค่ะ โดยการตรวจที่แพทย์อาจแนะนำ ได้แก่

การเข้ารับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและควบคุมอาการได้ดีกว่า รวมถึงยังช่วยให้การวางแผนมีบุตรเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นค่ะ

Q: ปวดประจำเดือนแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

A: ปวดรุนแรงจนใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ ปวดต่อเนื่องหลายวัน หรือต้องใช้ยาแก้ปวดแรง ๆ ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือปวดร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือปวดเวลาขับถ่าย

Q: ปวดประจำเดือนบ่อย ควรตรวจอะไรบ้าง?

A: เบื้องต้นแพทย์จะทำการ ตรวจภายในและอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจดูความผิดปกติ ในบางกรณีอาจต้องพิจารณา การผ่าตัดส่องกล้อง ขึ้นอยู่กับลักษณะรอยโรคและอาการของคนไข้ค่ะ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยาก เพื่อการดูแลที่แม่นยำนะคะ

Q: ปวดประจำเดือนบ่อย กินยาแก้ปวดท้องได้ไหม?

A: การทานยาแก้ปวดเช่น พาราเซตามอล รวมถึงกลุ่ม NSAIDs หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อ พอนสแตน เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ อาจช่วยบรรเทาอาการในรายที่มีอาการน้อยค่ะ แต่หากมีรอยโรคหรือปัญหาอื่น ๆ จำเป็นต้องได้ยารักษาที่ตรงจุด เช่น ยาฮอร์โมน หรือการผ่าตัด เพื่อให้ตัวโรคไม่รุนแรงลุกลามมากขึ้น

Q: การกินยาแก้ปวดบ่อย ๆ มีผลต่อการมีบุตรหรือไม่?

A: ยาแก้ปวดทั่วไปไม่ได้ทำให้มีบุตรยากโดยตรง แต่การรับประทานยาบ่อย ๆ อาจบ่งบอกว่าควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ไม่ควรละเลยอาการนะคะ

Q: ถ้าอยากมีลูก ควรตรวจภายในเมื่อไหร่?

A: หากแต่งงานแล้วพยายามมีบุตร 6 - 12 เดือนแต่ไม่สำเร็จ หรือมีอาการ ปวดประจำเดือนผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจทันที ในบางรายสามารถเริ่มตรวจประเมินตั้งแต่ เริ่มวางแผนตั้งครรภ์ เพื่อเตรียมความพร้อมและลดความเสี่ยงค่ะ

สรุป

อาการ ปวดประจำเดือน เป็นเรื่องปกติที่พบได้ของคุณผู้หญิง แต่ไม่ใช่ทุกอาการปวดจะปลอดภัยเสมอไป หากมีอาการปวดที่รุนแรง ผิดปกติ หรือเรื้อรัง ควรเข้ารับการตรวจประเมินเพื่อหาสาเหตุ และเริ่มรักษาอย่างทันท่วงที การปล่อยหรือละเลยอาการเหล่านี้ไป อาจทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังที่บางครั้งยากที่จะแก้ไข ซึ่งส่งผลต่อการมีบุตรและตั้งครรภ์ในอนาคตแบบถาวรได้ค่ะ การเข้ารับการประเมิน รักษา และดูแลจาก แพทย์เฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยาก จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำ วางแผนการรักษาได้ตรงจุด และเพิ่มโอกาสในการมีบุตรในอนาคตค่ะ

การดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ คือการเตรียมพร้อมสำหรับครอบครัวในวันข้างหน้า หากคุณผู้หญิงที่กำลังมีอาการปวดประจำเดือนผิดปกติ อย่าลังเลที่จะเข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Woman Care Clinic นะคะ ที่นี่เรามีทีมแพทย์สูตินรีเวชเฉพาะทางที่มากประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยาก มะเร็งนรีเวช และดูแลครอบคลุมถึงการปรึกษาเพื่อผ่าตัดส่องกล้อง เตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตของครอบครัวที่สมบูรณ์นะคะ สนใจปรึกษา ติดต่อสอบถามได้ที่ เบอร์ 096-692-5044 หรือ line : @womancareclinic (มี@) มีแอดมินคอยดูแลตลอดเวลาค่ะ