Woman Care Clinic

ซีสต์ในรังไข่คืออะไร อันตรายไหม? เช็คอาการและวิธีป้องกัน

โดย นพ. ศุภณัฐ บุรินทร์กุล (หมอเอิร์ท)
พญ. ฐานิสา กิจจรัส (หมอแนน)

ซีสต์ในรังไข่

“ซีสต์ในรังไข่” เป็นภาวะสุขภาพที่ผู้หญิงหลายคนอาจเคยได้ยิน หรือแม้กระทั่งเคยประสบด้วยตนเอง ซีสต์บางชนิดอาจไม่อันตรายและสามารถหายเองได้ แต่บางชนิดอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติ หรือพัฒนาไปสู่มะเร็งรังไข่ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสมค่ะ

ดังนั้น เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนเข้าใจเรื่องซีสต์ในรังไข่มากขึ้น ในบทความนี้ Woman Care Clinic จะพามาทำความรู้จักซีสต์ในรังไข่ว่าคืออะไร อันตรายไหม ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง รวมไปถึงแนวทางการตรวจวินิจฉัยและการป้องกัน เพื่อให้คุณผู้หญิงสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างถูกต้องและมั่นใจมากขึ้นกันนะคะ

ซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cyst) คือ ถุงน้ำหรือก้อนที่เกิดขึ้นในรังไข่ มักพบในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ แต่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัยเช่นกันค่ะ โดยทั่วไปแล้วซีสต์ในรังไข่มีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะ, ลักษณะที่พบจากการอัลตราซาวนด์รังไข่, อาการแสดง ไปจนถึงความอันตรายและความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่แตกต่างกันค่ะ โดยซีสต์รังไข่ อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ค่ะ ได้แก่

ซีสต์ในรังไข่คืออะไร
อาการที่พบบ่อยของซีสต์ในรังไข่

ซีสต์ในรังไข่ส่วนใหญ่อาการมักไม่ค่อยชัดเจนค่ะ โดยเฉพาะในระยะแรกที่ซีสต์มีขนาดเล็ก มักจะไม่มีอาการ ทำให้กว่าจะตรวจเจอก็มีขนาดใหญ่แล้ว อย่างไรก็ตามอาการแสดงบางอย่างอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเราอาจจะมีซีสต์รังไข่ได้ค่ะ ดังนั้นหากคุณผู้หญิงมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อพิจารณาตรวจและวินิจฉัยก่อนจะสายเกินแก้นะคะ

ซีสต์ในรังไข่อันตรายไหม?

 ซีสต์ในรังไข่หลายชนิดไม่อันตรายและสามารถยุบหายได้เอง แต่บางชนิดอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย และอาจนำไปสู่การปวดท้องเฉียบพลัน และผ่าตัดเป็นกรณีฉุกเฉิน ซึ่งกรณีหลังนี้อาจจะอันตรายถึงชีวิตได้เลยค่ะ ทั้งนี้ซีสต์ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ และต้องตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่

หากพบซีสต์ในรังไข่ที่มีขนาดใหญ่หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรตรวจติดตามอาการกับแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและลดโอกาสการพัฒนาเป็นเนื้อร้ายในอนาคตค่ะ

ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่

1. กรรมพันธุ์และประวัติครอบครัว

 หากมีญาติสายตรง เช่น แม่หรือพี่น้อง เป็นมะเร็งรังไข่หรือมะเร็งเต้านม ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งในสัดส่วนที่สูงกว่าคนทั่วไป

2. โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

เป็นภาวะที่อาจนำไปสู่การเกิดช็อกโกแลตซีสต์ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อการมีบุตรยากแล้ว ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดเนื้อร้ายในรังไข่บางชนิดด้วยนะคะ

3. อายุและภาวะการเจริญพันธุ์

 โดยส่วนใหญ่แล้วซีสต์มักจะพบได้บ่อยในวัยเจริญพันธุ์เพราะเป็นช่วงที่มีการตกไข่อย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซีสต์ที่ตรวจพบมักมีโอกาสเป็นชนิดที่อันตรายมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นมะเร็งรังไข่ค่ะ

4. พฤติกรรมและสุขภาพทั่วไป

 ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดซีสต์หรือความผิดปกติของรังไข่ได้

5. การใช้ฮอร์โมนหรือการรักษาบางประเภท

หากเป็นผู้ที่เคยได้รับการกระตุ้นฮอร์โมนเพื่อการมีบุตร หรือการใช้ยาฮอร์โมนในระยะยาว อาจเพิ่มโอกาสในการพบซีสต์ในรังไข่บางชนิดได้ค่ะ

การตรวจวินิจฉัยซีสต์รังไข่

โดยทั่วไป การตรวจวินิจฉัยซีสต์ในรังไข่จะอาศัยการตรวจภายในร่วมกับอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดเป็นหลักค่ะ ซึ่งสามารถประเมินได้ตั้งแต่ ขนาด ลักษณะภายใน ชนิดซีสต์ ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยง ไปจนถึงความเสี่ยงในการเป็นเนื้อร้ายได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาใช้การตรวจเพิ่มเติมในบางกรณี เช่น

การตรวจเลือดประเมินฮอร์โมน เพื่อประเมินว่าซีสต์รังไข่ที่ตรวจพบมีการผลิตฮอร์โมนหรือไม่

การตรวจเลือดประเมินค่ามะเร็ง CA-125 เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง หรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือน

ทั้งนี้ การเลือกวิธีตรวจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยแต่ละรายค่ะ

ด้วยแนวทางเหล่านี้ คุณผู้หญิงก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดซีสต์ในรังไข่และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ค่ะ

เพื่อคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับภาวะซีสต์ในรังไข่ เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบที่ถูกต้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมั่นใจกันนะคะ

Q: ซีสต์กับเนื้องอกที่รังไข่เหมือนกันหรือไม่?

A: ไม่เหมือนกันค่ะ ซีสต์ มักเป็นถุงน้ำที่มีความรุนแรงต่ำกว่า ส่วนเนื้องอก เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งชนิดธรรมดาและชนิดมะเร็ง ดังนั้นแล้วการตรวจอัลตราซาวนด์จะสามารถช่วยแยกความแตกต่างกันได้ค่ะ

Q: ซีสต์ในรังไข่หายเองได้หรือไม่?

A: ซีสต์บางชนิดสามารถยุบหรือหายไปเองภายใน 3 - 4 รอบเดือนค่ะ นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาการให้ยาฮอร์โมน หรือยาคุมกำเนิดบางชนิด เพื่อลดการเกิดซีสต์ใหม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เสมอนะคะ

Q: ซีสต์ในรังไข่กับการมีบุตรเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

A: ซีสต์บางชนิด เช่น ช็อกโกแลตซีสต์ สามารถทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้ค่ะ เนื่องจากส่งผลต่อการทำงานของรังไข่ ทำให้การตกไข่ผิดปกติ และการทำงานของท่อนำไข่เสียไปได้ค่ะ

Q: อาการแบบไหนควรไปพบแพทย์?

A: หากมีอาการ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ท้องโตผิดปกติ มีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีการวางแผนการมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยค่ะ

Q: เป็นซีสต์ในรังไข่ควรไปพบแพทย์ไหม?

A: กรณีมีประวัติเคยตรวจพบซีสต์รังไข่ หรือถุงน้ำในรังไข่ ควรไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอนะคะ การตรวจติดตาม หรืออัลตราซาวนด์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความรุนแรงของตัวโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ค่ะ

Q: ตรวจพบซีสต์ต้องผ่าตัดไหม?

A: ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ หาก ซีสต์มีขนาดเล็ก และไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าติดตาม ให้ยาเพื่อกดขนาดซีสต์ หรือรักษาซีสต์ แต่หากซีสต์มีขนาดใหญ่หรือมีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง จำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัดค่ะ

สรุป

ซีสต์ในรังไข่ เป็นภาวะที่ผู้หญิงหลายคนสามารถพบเจอได้ ดังนั้นการสังเกตอาการของตนเอง ตรวจสุขภาพประจำปี และเข้าพบแพทย์ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงก่อนที่ปัญหาจะลุกลามโดยไม่รู้ตัวค่ะ

ที่ Woman Care Clinic สนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพรังไข่และระบบสืบพันธุ์ของตนเอง เราดูแลโดยคุณหมอเฉพาะทางที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำแนะนำและดูแลรักษาด้านฮอร์โมน การผ่าตัดผ่านกล้อง รวมถึงภาวะมีบุตรยากอย่างครบวงจร ติดต่อสอบถามได้ที่ เบอร์ 096-692-5044 หรือ line : @womancareclinic (มี@) ได้เลยนะคะ

ตรวจภาวะประจำเดือนผิดปกติกับคุณหมอ