Woman Care Clinic

ตรวจ HPV แล้วเจอเชื้อ ต้องทำอย่างไรต่อ? คำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

โดย นพ. ศุภณัฐ บุรินทร์กุล (หมอเอิร์ท)
พญ. ฐานิสา กิจจรัส (หมอแนน)

ตรวจ HPV

“การตรวจ HPV” ถือเป็นหนึ่งในการตรวจสุขภาพที่สำคัญ เนื่องจากเชื้อ HPV เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ การตรวจจึงช่วยให้เรารู้เท่าทันความผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย แม้เชื้อ HPV ส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดอาการหรืออันตรายร้ายแรง แต่บางสายพันธุ์ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้เซลล์เยื่อบุเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเป็น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งชนิดอื่น ๆ เช่น มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก รวมถึงโรคหูดหงอนไก่ ได้ในระยะยาว

ในบทความนี้ Woman Care Clinic จะพามาทำความรู้จักกับเชื้อ HPV ให้มากขึ้น พร้อมแนวทางการตรวจติดตาม การดูแลตนเอง และคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับการปฏิบัติเมื่อพบว่ามีการติดเชื้อค่ะ

HPV (Human Papillomavirus) คือไวรัสที่มีสายพันธุ์มากกว่า 100 ชนิด พบได้บ่อยและติดต่อได้ง่าย โดยเฉพาะจากการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และทางปาก ส่วนการติดเชื้อจากการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าขนหนูหรือชุดชั้นใน แม้จะเกิดขึ้นได้แต่พบได้น้อยมากค่ะ เพราะช่องทางหลักของการติดเชื้อคือ “การสัมผัสผิวหนังต่อผิวหนังโดยตรง” ระหว่างมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง

สายพันธุ์ของเชื้อ HPV สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ค่ะ

ไวรัส HPV

1. ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที

เมื่อทราบผลตรวจ HPV แล้ว ควรนำผลนั้นไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งนรีเวช เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกเป็นรายบุคคล โดยแพทย์จะพิจารณาจากสายพันธุ์ของเชื้อ HPV ที่ตรวจพบ, ผลการตรวจเซลล์วิทยา, อายุ, ประวัติสุขภาพอื่นๆ เพิ่มเติมค่ะ

2. การเข้ารับการตรวจเพิ่มเติม

3. วางแผนการดูแลตนเองและติดตามผล

เมื่อประเมินผลตรวจครบถ้วน แพทย์จะกำหนดแนวทางติดตามตามระดับความเสี่ยงของผู้ป่วย หากเป็นกลุ่มความเสี่ยงต่ำ แพทย์อาจนัดตรวจคัดกรองซ้ำทุก 1 ปี แต่หากเป็นกลุ่มความเสี่ยงสูง แพทย์อาจติดตามอย่างใกล้ชิด ทุก 6 – 12 เดือน นอกจากนี้การดูแลตัวเองเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันก็มีความสำคัญไม่แพ้กันค่ะ เพราะภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจะช่วยให้ร่างกายกำจัดเชื้อได้ดีขึ้น ได้แก่

4. กระตุ้นให้ร่างกายกำจัดเชื้อ HPV ด้วยตนเอง

นอกจากการรอให้ร่างกายค่อยๆ กำจัดเชื้อ HPV ตามธรรมชาติแล้ว ปัจจุบันยังมีวิธีที่ช่วยเสริมให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่

5. ตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ

ข้อนี้สำคัญมากๆค่ะ เพราะการติดเชื้อ HPV ไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งในทันทีนะคะ โดยเฉลี่ยแล้ว เชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูงมักใช้เวลา 3 – 10 ปี ในการค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเซลล์ปกติให้กลายเป็นรอยโรคก่อนมะเร็ง และพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูกในที่สุด ดังนั้นช่วงเวลานี้คือช่วงที่แพทย์จะติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อค้นหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็งและทำการรักษาอย่างทันท่วงทีค่ะ ดังนั้นหากอยู่ภายใต้การติดตามดูแลของแพทย์ตลอด โอกาสที่จะพบรอยโรคถึงขึ้นเป็นมะเร็ง แทบจะไม่เกิดเลยนะคะ 🙂

ที่ Woman Care Clinic เราเข้าใจความกังวลใจนี้เป็นอย่างดี เราจึงมีบริการที่ครบวงจรตั้งแต่การตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HPV แบบระบุสายพันธุ์ (HPV Genotyping), การตรวจเซลล์วิทยา (Liquid-Based Pap Smear) ไปจนถึงการส่องกล้องปากมดลูก (Colposcopy) โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งทางนรีเวชโดยตรง นอกจากนี้ เรายังมีบริการฉีดวัคซีน HPV ทั้ง 9 สายพันธุ์ พร้อมให้คำปรึกษาและจ่ายยาเวชภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นการหายของ HPV เช่น Colpofix® เพื่อดูแลอย่างครอบคลุมในทุกขั้นตอนค่ะ

หนึ่งในอาการที่เกิดจากไวรัส HPV สายพันธุ์เสี่ยงต่ำคือ หูดหงอนไก่ (Genital Warts) โดยมักเป็นติ่งเนื้อสีชมพูหรือเทาเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก โรคนี้ไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง แต่หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ค่ะ

อย่างไรก็ตาม การมีหูดหงอนไก่ ไม่ได้หมายความว่ามีเพียงสายพันธุ์เสี่ยงต่ำเท่านั้นที่อยู่ในร่างกาย เพราะผู้ป่วยบางรายอาจติดเชื้อ HPV หลายสายพันธุ์พร้อมกันได้ เช่น มีทั้งสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ และสายพันธุ์เสี่ยงสูง ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกอยู่ร่วมด้วย ซึ่งมักไม่แสดงอาการใดๆ ให้สังเกตเลยค่ะ

ด้วยเหตุนี้ การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญอย่างมากค่ะ เพราะจะช่วยประเมินได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกร่วมด้วยหรือไม่ เพื่อให้รักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นรอยโรคก่อนมะเร็งหรือมะเร็งปากมดลูกในอนาคต

การฉีดวัคซีน HPV

1. การฉีดวัคซีน HPV

การฉีดวัคซีน คือวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะวัคซีน 9 สายพันธุ์ (Gardasil 9) ครอบคลุมทั้งสายพันธุ์ที่ก่อมะเร็งและสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ ในการฉีดวัคซีน HPV สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป และแนะนำให้ฉีดทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะผู้ชายเองก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV ได้เช่นกันค่ะ

2. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ

ไม่ว่าจะเคยฉีดวัคซีนหรือไม่ สาวๆทุกคนก็ยังจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์นะคะ เนื่องจากการฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 100%ดังนั้นยังจำเป็นต้องตรวจมะเร็งปากมดลูก/HPV ทุก 2-5 ปี (ขึ้นกับวิธีการตรวจ) เพื่อประเมินความผิดปกติตั้งแต่แรกเริ่มและติดตามสุขภาพในระยะยาวค่ะ

3. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

ถุงยางอนามัย สามารถช่วยลดความเสี่ยงการรับ-ส่งเชื้อได้ประมาณ 60% ค่ะ แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เนื่องจากเชื้อ HPV ติดต่อผ่านผิวหนังบริเวณที่ถุงยางครอบคลุมไม่ทั่วถึง แต่การใช้ถุงยางอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างมาก และยังควรตรวจคัดกรองตามกำหนดเพื่อประเมินสุขภาพในระยะยาวเสมอนะคะ

4. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย

จำนวนคู่นอนที่มากขึ้นสัมพันธ์กับการสัมผัสเชื้อ HPV จากหลายสายพันธุ์เพิ่มขึ้นนะคะ ดังนั้นการมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย จะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อชนิดต่าง ๆ ได้ค่ะ

5. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นมะเร็ง และเสริมเกราะป้องกัน

จริงๆแล้ว การติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่ (80-90%) สามารถหายได้เองภายใน 1-2 ปีโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรานี่เองค่ะ ดังนั้น หากเราไม่แข็งแรง ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจทำให้เชื้อคงอยู่ในร่างกาย และพัฒนาเป็นภาวะเรื้อรัง จนกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ในที่สุด

หายจากไวรัส HPV

นอกจากการเฝ้าติดตามและการฉีดวัคซีนแล้ว ปัจจุบันมีตัวช่วยอย่าง Colpofix® (Vaginal Gel Spray) เป็นเวชภัณฑ์ที่มีสารสำคัญ Polycarbophil และ Carboxymethyl Beta-Glucan ที่ช่วยสร้างชั้นฟิล์มเคลือบ (Bio-Adhesive Film) ที่เยื่อบุช่องคลอดและปากมดลูก ทำให้เราหายจากไวรัส HPV ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมค่ะ โดยตัวผลิตภัณฑ์มีกลไกที่ช่วยกำจัดเชื้อ ได้แก่

อย่างไรก็ตามการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เสมอนะคะ โดยที่ Woman Care Clinic แพทย์ของเราพร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทางเลือกใหม่ ๆ เหล่านี้ เพื่อให้คุณผู้หญิงได้รับการดูแลที่ดีและทันสมัยที่สุดค่ะ

Q: ตรวจเจอ HPV ต้องรักษาทันทีไหม?

A: ไม่จำเป็นในทุกกรณีค่ะ เพราะร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เองภายใน 1-2 ปี โดยแพทย์จะประเมินตามสายพันธุ์ที่ตรวจพบ และผลตรวจเซลล์ปากมดลูกร่วมด้วยค่ะ

Q: เข้าห้องน้ำสาธารณะ เสี่ยงติดเชื้อ HPV ได้หรือไม่?

A: แม้ว่าเชื้อ HPV อาจพบได้บนพื้นผิวในที่สาธารณะ เช่น ห้องน้ำหรือลูกบิดประตู แต่โอกาสติดเชื้อจากการสัมผัสทั่วไปถือว่าน้อยมากค่ะ เพราะเชื้อไม่สามารถอยู่รอดได้นานนอกร่างกาย และผิวหนังที่ไม่มีแผลจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ แต่เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ ทุกครั้งควรล้างมือให้สะอาดหลังใช้ห้องน้ำนะคะ

Q: มีคู่นอนคนเดียว มีโอกาสติด HPV ได้ไหม?

A: ยังมีความเสี่ยงค่ะ เนื่องจาก HPV ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยพบว่า 80% ของคนทั่วไปเคยติด HPV ก่อนโดยที่ไม่มีอาการใดๆ จึงอาจเป็นไปได้ว่า คู่รักของเราเคยได้รับเชื้อ HPV มาก่อนแล้วโดยที่ไม่รู้ตัวค่ะ

Q: ติด HPV แปลว่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูกไหม?

A: ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ ไวรัส HPV สามารถหายเองได้สูงถึง 90% แต่หากมีการรับเชื้อซ้ำ ๆ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็อาจทำให้โอกาสหายจากไวรัสน้อยลง และเมื่อไวรัสคงอยู่นาน ๆ ก็จะทำให้เซลล์เปลี่ยนสภาพและพัฒนาไปเป็นรอยโรคก่อนมะเร็ง และเป็นมะเร็งปากมดลูกในที่สุด

Q: HPV ทำให้มีบุตรยากจริงไหม?

A: ไม่ได้เป็นปัจจัยทางตรงที่ทำให้มีบุตรยากค่ะ แต่หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบของปากมดลูก หรือการรักษาที่มีผลต่อปากมดลูก รวมถึงเมื่อเป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว จะลดโอกาสตั้งครรภ์ หรือในบางกรณีไม่สามารถมีลูกได้ค่ะ

Q: เมื่อตรวจพบไวรัส HPV ต้องให้แฟน (ผู้ชาย) ตรวจด้วยไหม?

A: ไม่ต้องตรวจค่ะ แต่แนะนำฉีดวัคซีนไปพร้อมกันเลย เนื่องจากในปัจจุบัน การตรวจคัดกรองไวรัส HPV ในผู้ชายยังไม่กว้างขวางและมีประสิทธิภาพตรวจจับรอยโรคได้ดีน้อยกว่าผู้หญิงค่ะ ปัจจุบันพบว่ามีการตรวจไวรัสทางปัสสาวะ แต่ยังไม่ได้แนะนำให้ทำทุกราย ดังนั้นเมื่อแฟนตรวจพบ HPV แปลว่าคู่นอนมีโอกาสมากกว่า 90% ที่จะพบไวรัสได้เช่นกัน การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการส่งผ่านเชื้อไปมาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันได้ทั้งสองฝ่ายนั่นเองค่ะ

พบเชื้อ HPV ไม่ต้องตระหนก แต่ต้องตระหนัก

การติดเชื้อ HPV ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งเสมอไปนะคะ หากตรวจพบ HPV แล้วมีการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ตรวจคัดกรองซ้ำตามนัด หรือเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดตามดุลยพินิจของแพทย์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการกลายเป็นมะเร็งได้มากขึ้นมากๆ เลยค่ะ ดังนั้นหากใครรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยง หรือเคยตรวจพบเชื้อ HPV มาก่อน ควรรีบเข้ามาพบแพทย์ และดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันการเป็นมะเร็ง และมีประโยชน์ในระยะยาวมากที่สุดนะคะ

หากท่านใดตรวจพบเชื้อ HPV แล้ว ไม่แน่ใจว่าต้องตรวจอะไรต่อ ต้องติดตามเมื่อไหร่ หรือเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ที่ Woman Care Clinic เรามีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งนรีเวชที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษา บริการตรวจและประเมินความผิดปกติอย่างครบวงจร เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและครอบคลุมทุกประเด็นที่ควรระวังค่ะ พร้อมทั้งระบบการติดตามและดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องในที่เดียว เพื่อความสะดวก ความเป็นส่วนตัว และความสบายใจของผู้รับบริการ สนใจปรึกษาสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ เบอร์ 096-692-5044 หรือ line : @womancareclinic (มี@) ได้เลยนะคะ